ปัจจุบันโซเชียลมีเดียเข้ามามีอิทธิพลในการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก
ไม่ว่าจะเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิงหรือผู้ชายต่างใช้โซเชียลมีเดียในการติดต่อสื่อสาร
แต่หากใช้มากไปอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ เช่น การใช้เฟซบุ๊ก ไลน์ วอทแอพ
และวีแชต ฯลฯ ผ่านสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และโน้ตบุ๊กซึ่งอาจทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้
ดังนี้
1) โรคเศร้าจากเฟซบุ๊ก
ว่ากันว่า กรุงเทพฯ
เป็นเมืองที่มีคนเล่นเฟซบุ๊กมากที่สุดในโลกหรือราว 12 ล้านคน ส่วนทั้งประเทศมีผู้ใช้เฟซบุ๊กทั้งหมด 18 ล้านคน
คิดเป็น 27% ของประชากรทั่วประเทศ จัดอยู่ในอันดับที่ 13
ของโลก การใช้ เฟซบุ๊ก
มากเกินไปอาจกลายเป็นการบั่นทอนความสุขและความพึงพอใจในการดำรงชีวิต เช่น
โดดเดี่ยว เศร้า และเหงาหงอยมากขึ้น
ผู้คนส่วนใหญ่ใช้เฟซบุ๊กเป็นเครื่องระบายความรู้สึกมากขึ้น
โดยเฉพาะเมื่อเกิดความรู้สึกว้าเหว่
2) ละเมอแชท (Sleep-Textin)
ถือเป็นโรคใหม่ที่เกิดจากการใช้สมาร์ทโฟนอีกเช่นกัน
และโรคนี้ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะสามารถตามไปหลอกหลอนหรือป่วน
แม้กระทั่งตอนที่นอนหลับอยู่ เราสามารถเรียกโรคนี้ ให้เข้าใจง่ายๆ ว่า
อาการติดแชทแม้ขณะนั้นตัวเองกำลังหลับอยู่ การศึกษาในต่างประเทศพบว่า Sleep-Texting เป็นอาการชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการพิมพ์ข้อความแชทในมือถือของผู้ที่เข้าขั้น
"ติด" อาการนี้จะเกิดขึ้นในขณะหลับ และเมื่อได้ยินเสียงข้อความส่งมา
ร่างกายและระบบประสาทจะตอบสนองด้วยการหยิบมือถือมาแล้วพิมพ์ข้อความตอบกลับไปในทันที
ซึ่งผู้ใช้จะอยู่ในสภาวะ กึ่งหลับกึ่งตื่น
เป็นเหตุให้เมื่อตื่นขึ้นมาจะจำอะไรไม่ได้ว่าทำอะไรหรือพิมพ์อะไรไปบ้าง
และข้อความนั้นก็เป็นข้อความที่ไม่สามารถจับใจความได้ ปัญหาที่ตามมาก็คือ
ร่างกายที่อ่อนแอจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดโรคอ้วน ภาวะซึมเศร้า และอาจส่งผลกระทบในการเรียนหรือ
การทำงานด้วย
3) โรควุ้นในตาเสื่อม
สำหรับคนที่จะต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทุกวัน
วันละหลายๆ ชั่วโมง และบางคนก็จ้องแท็บเล็ต สมาร์ทโฟนไม่วางตาจากการทำงาน
เล่นอินเทอร์เน็ต แชท หรือเล่นเกม อาจทำให้เกิดโรควุ้นในตาเสื่อมได้ ทั้งนี้
จากการสำรวจในประเทศไทยพบว่า มีผู้ที่เป็นโรคนี้แล้วกว่า 14
ล้านคน โรคนี้เกิดขึ้นจากการใช้สายตาที่มากจนเกินไป
โดยปกติแล้วในสมัยก่อนโรคนี้ส่วนมากจะพบในผู้สูงอายุ แต่ในปัจจุปัน
มีผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มากขึ้น และไม่จำกัดช่วงอายุวัย
อาการสำคัญคือเวลามองจะเห็นภาพเป็นคราบ ดำๆ คล้ายหยากไย่
ซึ่งการตรวจสอบจะมองเห็นได้ชัดเจนในที่ๆ เป็นพื้นที่สีสว่างๆ เช่น ท้องฟ้าขาวๆ
ผนังห้องขาวๆซึ่งหากมีอาการเหล่านี้ จะทำให้เกิดอาการปวดตา
และมีปัญหาด้านสายตาในที่สุด ให้พักสายตาโดยการหลับตา แล้วเกือกตาไปมา ซ้าย ขวา บน
ล่าง และหลับให้นิ้งประมาณ 5 นาที
อย่าลืมออกไปสูดอากาศผ่อนคลาย และมองดูอะไรเขียวๆ ซึ่งได้ผลถึง 70%
4) โนโมโฟเบีย (Nomophobia)
เป็นโรคหวาดกลัวการไม่มีมือถือใช้ติดต่อสื่อสาร
รวมถึงความเครียดเมื่อมือถืออยู่ในจุดอับสัญญาณจนติดต่อใครไม่ได้ Nomophobia
มาจากคำว่า "no-mobile-phone phobia" ซึ่งจัดเป็นโรคกลัวทางจิตเวช เพราะมีอาการวิตกกังวลหรือกลัวเกินกว่าปกติ อาการโดยทั่วไปที่สามารถเช็คได้ง่ายๆ
คือ เกิดอาการเครียด วิตกกังวล ตัวสั่น หายใจไม่สะดวก คลื่นไส้เมื่อไม่มีโทรศัพท์
อยู่ในจุดอับสัญญาณ หรือแบตเตอรี่หมด นอกจากนี้ยังแสดงอาการด้วยการหยิบสมาร์ทโฟน
หรือแท็บเล็ต ขึ้นมาเช็คอยู่ตลอดเวลา
ติดการส่งข้อความและการโพสต์ข้อความผ่านสังคมออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ ว่างไม่ได้
สเตตัส เช็กอิน โพสต์รูป ฯลฯ ต้องมีให้เห็น
ที่สำคัญไม่เคยปิดมือถือเพราะกลัวพลาดการอัพเดทเรื่องราวต่าง
5)
สมาร์ทโฟนเฟซ (Smartphone face)
สมาร์ทโฟนเฟซ
หรือโรคใบหน้าสมาร์ทโฟน
แต่เป็นโรคที่เกิดจากการก้มลงมองและจ้องไปที่สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตมากจนเกินไป
เหตุนี้เองจึงทำให้เกิดการยืดของเส้นใยอิลาสติกบนใบหน้าทำให้แก้มบริเวณกรามเกิดการย้อยลงมา
ส่วนกล้ามเนื้อบริเวณมุมปากจะตกไปทางคาง ที่เป็นเช่นนี้
ก็เพราะการนั่งก้มหน้ามองสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตเป็นเวลานาน
จะทำให้เกิดการเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณคอและเพิ่มแรงกดบริเวณแก้ม
จึงทำให้เกิดอาการดังกล่าวขึ้นมา และจะเห็นชัดเจนเมื่อถ่ายภาพด้วยตัวเอง
(ที่มา : https://sites.google.com/site/phaykiltaw/rokh-thima-kab-khxmphiwtexr/tid-so-cheiy-lmi-deiy-rawang-pwy-pen-5-rokh)
(ที่มา : https://sites.google.com/site/phaykiltaw/rokh-thima-kab-khxmphiwtexr/tid-so-cheiy-lmi-deiy-rawang-pwy-pen-5-rokh)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น